นโยบายความเป็นส่วนตัว
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด มุ่งมั่นในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของคุณ และรับรองว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณได้รับความคุ้มครอง ในนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้

"ข้อมูลส่วนบุคคล" หมายถึงข้อมูลที่ระบุตัวบุคคลได้ ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะจริงหรือเท็จ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ระบุตัวตนได้จากข้อมูลดังกล่าว
1.
คำนิยาม
“ข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งทำให้สามารถระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลผู้ถึงแก่กรรมโดยเฉพาะ

“ข้อมูลส่วนบุคคลอ่อนไหว” หมายถึง ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลโดยแท้ของบุคคล แต่มีความละเอียดอ่อนและอาจสุ่มเสี่ยงในการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใด ซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกัน ตามที่คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลประกาศกำหนด

“คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” หมายถึง คณะกรรมการที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้น โดยมีหน้าที่และอำนาจกำกับดูแล ออกหลักเกณฑ์ มาตรการ หรือข้อปฏิบัติอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามพระราช บัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
2.
การบังคับใช้
นโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้อธิบายถึงประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่เราเก็บรวบรวม และวิธีที่เราใช้ เปิดเผย ถ่ายโอน ประมวลผล และคุ้มครองข้อมูลดังกล่าว เราเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลผ่าน (โดยไม่จำกัดเฉพาะ) วิธีการต่อไปนี้
(ก) เมื่อคุณซื้อสินค้า หรือเลือกชมสินค้าที่ www.intermark.co.th
(ข) เมื่อคุณซื้อสินค้าที่ร้านค้าของเรา
(ค) เมื่อคุณเชื่อมต่อกับเราผ่านสื่อสังคม (social media) หรือเข้าร่วมกิจกรรมทางการตลาดของเรา
(ง) เมื่อคุณตกลงและยินยอมที่จะเป็นสมาชิกเว็บไซต์ไม่ว่าจะด้วยวิธีการทางกายภาพหรือทางอิเล็กโทรนิกส์
(จ) เมื่อคุณเข้ามาติดต่อ หรือเข้ารับบริการในส่วนของบริษัท จะมีการบันทึกภาพของคุณในระบบ CCTV
รวมทั้งกรณีที่คุณโดยสารรถยนต์ส่วนบุคคลของบริษัท อาจมีการบันทึกภาพด้วยกล้องบันทึกหน้ารถยนต์
(ฉ) เมื่อคุณทำการโทรเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดของทางบริษัทผ่านระบบ call center และ hot line ทางบริษัทจะมีการบันทึกเสียงสนทนาของคุณ

เราอาจปรับปรุงนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้เป็นบางครั้ง โดยเราจะเผยแพร่นโยบายฉบับปรับปรุงบนเว็บไซต์ และ/หรือส่งให้กับคุณทางอีเมล ถ้าจุดประสงค์ตามนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้มีการเปลี่ยนแปลง เราจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อแจ้งให้คุณทราบ และขอคำยินยอมจากคุณสำหรับจุดประสงค์ใหม่ ก่อนที่จะทำการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ดังนั้น คุณควรกลับมาตรวจสอบหน้านี้เป็นประจำเพื่อดูข้อมูลฉบับปรับปรุงเกี่ยวกับวิธีที่เราจัดการกับข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ
3.
ความยินยอม
เราจะไม่เก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของคุณโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากคุณ (ยกเว้นกรณีที่กฎหมายอนุญาตและให้อำนาจเราในการดำเนินการดังกล่าว) เมื่อคุณให้ข้อมูลส่วนบุคคลแก่เราแล้ว หมายความว่า คุณยินยอมให้บริษัทเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ถ่ายโอน และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคุณตามนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้

ประเภทของข้อมูลส่วนบุคคลที่เราเก็บรวบรวมนั้นรวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ
(ก) ชื่อและนามสกุล
(ข) ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์
(ค) ที่อยู่อีเมล และหากมีความเหมาะสม เราจะเก็บรวบรวม
(ง) ชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน
(จ) ที่อยู่สำหรับออกใบเสร็จรับเงินและจัดส่งสินค้า
(ฉ) เลขบัตรประจำตัวประชาชน
(ช) ข้อมูลอื่นๆ เท่าที่จำเป็นเพื่อให้เราสามารถให้บริการแก่คุณ
4.
จุดประสงค์
เราเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ถ่ายโอน และประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ เพื่อจุดประสงค์ในการให้บริการ ซึ่งรวมถึง แต่ไม่จำกัดเฉพาะ บริการต่อไปนี้
  1. ส่งข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแคมเปญจากเรา และพันธมิตรธุรกิจจากภายนอกของเราผ่านทางอีเมล เอสเอ็มเอส และไปรษณีย์
    (เมื่อเราได้รับคำยินยอมโดยชัดแจ้งจากคุณแล้ว)
  2. ให้คุณซื้อผลิตภัณฑ์และบริการของเราบนเว็บไซต์
  3. อำนวยความสะดวกให้กับธุรกรรมที่คุณทำกับเรา
  4. ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์และ/หรือผลิตภัณฑ์ของเราให้กับคุณ
  5. แจ้งข่าวเกี่ยวกับความคืบหน้า การเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับเราและบริการของเรา
  6. แจ้งให้คุณทราบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ รวมถึงนโยบายหรือบริการอื่นๆ ของเรา
  7. ให้คำปรึกษาสำหรับคุณโดยเฉพาะ
  8. ตอบกลับคำถามหรือความคิดเห็นจากคุณ
  9. บำรุงรักษาและจัดการเว็บไซต์
  10. จัดการด้านการดำเนินการทางธุรการและธุรกิจ
  11. ร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจและผู้ประมวลผลจากภายนอกเพื่อให้บริการบางส่วน
  12. เก็บข้อมูลของลูกค้า วิเคราะห์ตลาด และวิจัยตลาดเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเรา
  13. ป้องกัน ตรวจจับ และตรวจสอบอาชญากรรม รวมทั้งวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงทางการค้า
  14. จุดประสงค์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับที่กล่าวข้างต้น (เรียกรวมกันว่า "บริการ")
5.
การถอนความยินยอม การเข้าถึง และการแก้ไข
หากคุณประสงค์ถอนความยินยอมที่จะรับข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และแคมเปญใหม่ๆ หรือบริการอื่นใด คุณสามารถทำได้โดยวิธีต่อไปนี้
  1. ยกเลิกการเป็นสมาชิกจากเว็บไซต์ของเรา
  2. ติดต่อเจ้าหน้าที่ของเรา - ติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลของเรา ทางที่อยู่ด้านล่าง
โปรดทราบว่า หากคุณถอนความยินยอมให้เราใช้ เปิดเผย ถ่ายโอน และ/หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ เราอาจไม่สามารถให้บริการของเราแก่คุณได้ส่วนหนึ่งหรือทั้งหมด เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดที่เรามีในครอบครองนั้นถูกต้องสมบูรณ์เท่าที่เราทราบ คุณมีสิทธิร้องขอการเข้าถึงและแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ หากคุณต้องการความช่วยเหลือในการเข้าถึงและ/หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ โปรดติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลของเราทางที่อยู่ด้านล่าง เราจะติดต่อกลับถึงคุณภายใน 30 วัน
6.
ผู้เยาว์
เว็บไซต์นี้ออกแบบและทำขึ้นเพื่อบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป เราไม่มีเจตนาที่จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจากผู้เยาว์ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปี ยกเว้นในบางเว็บไซต์ที่ทำขึ้นสำหรับผู้เยาว์โดยเฉพาะ เราคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เยาว์พร้อมทั้งขอคำอนุญาตจากผู้ปกครอง ในวิธีการเดียวกับที่เราคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใหญ่
7.
การเปิดเผยและการถ่ายโอนข้อมูลให้กับบุคคลภายนอก
เราจะไม่เปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณแก่บุคคลภายนอก หากไม่มีการร้องขอและได้รับความยินยอมจากคุณ (ยกเว้นในกรณีที่กฎหมายอนุญาตและให้อำนาจเราในการดำเนินการดังกล่าว) ข้อมูลส่วนบุคคลที่คุณมอบให้เราอาจได้รับการจัดเก็บ ประมวลผล ถ่ายโอนระหว่าง และเข้าถึงจากเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่นๆซึ่งมีกฎและกฎหมายที่อาจไม่ได้ให้การรับประกันการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับเดียวกับประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เราจะดำเนินการตามขั้นตอนที่จำเป็นเพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณได้รับการจัดการตามนโยบายความเป็นส่วนตัวนี้ ไม่ว่าข้อมูลส่วนบุคคลของคุณจะถูกจัดเก็บหรือเข้าถึงจากที่ใดก็ตาม
8.
การรักษาความปลอดภัยและการคุ้มครอง
เราดำเนินการตามขั้นตอน มาตรฐาน และการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เราถือครองอยู่หรือที่เรามีอำนาจควบคุม เมื่อได้รับข้อมูลส่วนบุคคลของคุณแล้ว ไม่ว่าจะทางกายภาพหรือทางอิเล็กทรอนิกส์ เราจะดำเนินการรักษาความปลอดภัยที่จำเป็นเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว ตามเหตุผลและตามความเหมาะสมของพฤติการณ์ การดำเนินการดังกล่าวอาจประกอบด้วยมาตรการด้านการจัดการ มาตรการทางกายภาพ มาตรการเชิงเทคนิค หรือหลายมาตรการดังกล่าวรวมกัน

เมื่อเราเปิดเผยหรือถ่ายโอนข้อมูลของคุณทางอินเทอร์เน็ต เราจะดูแลอย่างเหมาะสมที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของคุณโดยไม่ได้รับอนุญาต อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถรับประกันได้ว่า การถ่ายโอนข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมีความปลอดภัยอย่างสมบูรณ์ คุณจึงต้องรับทราบว่าคุณส่งข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ตโดยที่คุณอาจต้องรับความเสี่ยงไว้เอง
9.
การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
เราจะไม่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลของคุณเป็นเวลานานกว่าที่จำเป็น ต่อการดำเนินการตามจุดประสงค์ที่ระบุในนโยบายความเป็นส่วนตัวฉบับนี้ และจุดประสงค์ทางกฎหมายหรือทางธุรกิจที่ถูกต้องอื่นๆ หลังจากระยะเวลาดังกล่าวเราจะทำลายเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ หรือทำให้เอกสารดังกล่าวเป็นนิรนาม โดยใช้วิธีการที่ปลอดภัย
10.
กฎหมายที่บังคับ
นโยบายความเป็นส่วนตัวนี้อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายประเทศไทย
ติดต่อเรา
ถ้าคุณต้องการเข้าถึงหรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้ให้แก่เราไว้ คุณสามารถส่งคำร้อง หรือคำถามใดๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของคุณถึงบริษัทได้
ตามที่อยู่นี้ด้านล่างนี้ หรือจะติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลของเรา
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด
14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-449-0118
อีเมล์ : dpooffice@intermark.co.th
นโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)
www.intermark.co.th ใช้คุกกี้ (cookies) หรือไฟล์ข้อมูลขนาดเล็กเพื่อจดจำการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา จดจำความชอบและความสนใจเพื่อการแสดงผล และเร่งความเร็วในการแสดงผลของข้อมูล รวมถึงเพื่อความสะดวกในการให้บริการต่างๆ ในเว็บไซต์ของเรา โดยคุกกี้นี้จะถูกดาวน์โหลดเก็บไว้ในอุปกรณ์ของผู้เข้าใช้งานเพื่อระบุอุปกรณ์การใช้งานของผู้เข้าใช้ แต่จะไม่ระบุตัวบุคคลผู้เข้าใช้งาน ทั้งนี้การวิเคราะห์อาจทำโดยบุคคลอื่นที่ให้บริการหรือได้ รับมอบหมายให้กระทำการแทน เช่น Google Analytics เป็นต้น
คุกกี้ที่จำเป็นต้องมี จะถูกใช้งานเพื่อ :
  • จดจำสิ่งที่ท่านเลือกซื้อในตะกร้าสินค้า
  • จดจำระยะเวลาการสั่งซื้อสินค้าของท่าน
คุกกี้สำหรับการใช้งาน จะถูกใช้งานเพื่อ :
  • จดจำรายละเอียดการเข้าสู่ระบบของท่าน
  • ทำให้มั่นใจว่าท่านได้รับการคุ้มครองเมื่อเข้าสู่ระบบ
  • เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าชมเว็บไซต์สามารถค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย
  • เพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์มีความต่อเนื่อง
คุกกี้ปฏิบัติการ จะถูกใช้งานเพื่อ :
  • พัฒนาการทำงานของเว็บไซต์
  • พัฒนาการให้บริการแก่ผู้ใช้งาน
คุกกี้วิเคราะห์สื่อโซเชียล และคุกกี้ของพันธมิตรโฆษณา
เราอาจอนุญาตให้คุณสมัครและเข้าสู่ระบบโดยใช้บัญชี Facebook ของคุณ หากคุณสมัครใช้งานโดยใช้ Facebook Connect, Facebook จะขออนุญาตจากคุณในการแบ่งปันข้อมูลบางอย่างจากบัญชี Facebook ของคุณกับเรา ซึ่งอาจรวมถึงชื่อ, นามสกุล, ที่อยู่อีเมล, เบอร์โทรศัพท์ เพื่อให้เรายืนยันตัวตน และเพศ, เขตที่อยู่ทั่วไป, ลิงก์ไปยังโปรไฟล์ Facebook, เขตเวลา, วันเกิด, รูปภาพโปรไฟล์, "ไลค์" ของคุณ และรายชื่อเพื่อน ข้อมูลนี้ถูกรวบรวมโดย Facebook และให้ไว้กับเราภายใต้ข้อกำหนดของนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook ซึ่งคุณสามารถดูได้ที่นี่: www.facebook.com/policy.php คุณสามารถควบคุมข้อมูลที่เราได้รับจาก Facebook โดยใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในบัญชี Facebook ของคุณ

Facebook Custom Audience : บริการนี้จาก Facebook ช่วยให้เราสามารถแสดงโฆษณาในแบบของคุณให้กับผู้ที่อยู่ในรายการอีเมลของเรา เมื่อพวกเขาเข้าเว็บไซต์ Facebook.com เราให้ข้อมูลของคุณ เช่น ที่อยู่อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์ของคุณที่เข้ารหัสเอาไว้ (“เข้ารหัสแฮช” เพื่อให้ไม่มีมนุษย์อ่านได้) ส่งไปยัง Facebook เพื่อเปิดใช้งาน Facebook เพื่อตรวจสอบว่าคุณเป็นผู้ถือบัญชีที่ลงทะเบียนกับ Facebook หรือไม่ คุณสามารถอ่านนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Facebook ได้ที่นี่: www.facebook.com/policy.php

Google Tag Manager : เว็บไซต์ของเรายังใช้ Google Tag Manager บริการนี้ช่วยให้สามารถจัดการแท็กเว็บไซต์ผ่านอินเทอร์เฟซของ Google แท็กคือ องค์ประกอบเล็กๆ ของโค้ด ใช้สำหรับ เพื่อวัดจำนวนผู้เข้าเว็บไซต์, ดูพฤติกรรมผู้เยี่ยมชม เพื่อวิเคราะห์และทำความเข้าใจผลการโฆษณา และสื่อโซเชี่ยล เพื่อตั้งค่ารีมาร์เก็ตติ้ง ตั้งค่าโฆษณาสู่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ และทดสอบและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ Google Tag Managers ใช้สำหรับจัดการแท็กเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีการใช้คุกกี้และไม่มีการบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล เราแสดงรายการไว้ที่นี่เพื่อความโปร่งใสเกี่ยวกับเครื่องมือที่เราใช้ หากปิดการใช้งานในระดับโดเมนหรือคุกกี้ ระบบ Google Tag Manager จะเหลือแค่ข้อมูลแท็กที่เราใช้งานเท่านั้น

Google Analytics : เว็บไซต์ของเราใช้ Google Analytics ซึ่งเป็นบริการวิเคราะห์เว็บ Google Analytics ใช้คุกกี้เพื่อช่วยเว็บไซต์วิเคราะห์วิธีการที่ผู้เยี่ยมชมใช้งานเว็บไซต์ ข้อมูลที่สร้างขึ้นโดยคุกกี้เกี่ยวกับการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ (รวมถึงที่อยู่ IP ของคุณ) จะถูกส่งและจัดเก็บโดยเซิร์ฟเวอร์ Google ในสหรัฐอเมริกา. Google ใช้ข้อมูลนี้เพื่อประเมินการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ รวบรวมรายงานกิจกรรมบนเว็บไซต์ และการใช้อินเทอร์เน็ต สำหรับผู้ให้บริการเว็บไซต์และให้บริการเว็บไซต์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเว็บไซต์

คุณสามารถป้องกันการจัดเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเว็บไซต์ของคุณและสร้างผ่านคุกกี้ (รวมถึงที่อยู่ IP ของคุณ) โดย Google รวมถึงการประมวลผลข้อมูลนี้โดย Google โดยการดาวน์โหลดและติดตั้งปลั๊กอินของเบราว์เซอร์ที่มีดังต่อไปนี้ ลิงก์: https://tools.google.com/
dlpage/gaoptout?hl=en.


Line : บริษัท ไลน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (“LINE” “เรา” หรือ “พวกเรา”) จะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบุคคล (“ข้อมูลส่วนบุคคล”) เพื่อให้บริการแอปพลิเคชัน LINE (“LINE App”) รวมถึงการนำเสนอสินค้า แอปพลิเคชัน การบริการ และเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับ LINE App ทั้งหมด (ต่อไปนี้รวมเรียกว่า “บริการฯ”) เราตระหนักดีว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหนึ่งในประเด็นการจัดการที่สำคัญที่สุดในความรับผิดชอบของบริษัทในฐานะผู้ให้บริการเนื้อหาทางอินเทอร์เน็ต เราจะปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับที่บังคับใช้ในประเทศและภูมิภาคต่างๆ เราจะไม่เปิดเผย หรือแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลกับบุคคลที่สามเว้นแต่เราจะได้รับความยินยอมจากท่าน หรือเป็นการปฏิบัติตามกฎหมายที่มีผลบังคับใช้ เมื่อเราได้รับความยินยอมจากท่าน หรือมีกฎหมายให้อำนาจไว้ เราอาจส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังประเทศที่สามถึงแม้ว่าประเทศดังกล่าวจะไม่มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่มีมาตรการการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เทียบเท่ากับประเทศหรือภูมิภาคที่ท่านอาศัยอยู่ก็ตาม ในกรณีที่ท่านมีคำขอหรือข้อร้องเรียนใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ท่านสามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาโดยใช้แบบฟอร์มการติดต่อ https://contact-cc.line.me/

YouTube : หน่วยงานที่ให้บริการคือ Google LLC ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินงานภายใต้กฎหมายของรัฐเดลาแวร์ มีสถานที่ตั้งอยู่ที่ 1600 Amphitheatre Parkway, Mountain View, CA 94043 (เรียกว่า “YouTube”, “เรา” หรือ “ของเรา”) การอ้างถึง “บริษัทในเครือ” ของ YouTube ในข้อกำหนดเหล่านี้หมายถึงบริษัทอื่นๆ ภายในกลุ่มบริษัท Alphabet Inc. (ปัจจุบันหรือในอนาคต)

ข้อมูลของคุณ นโยบายความเป็นส่วนตัว (https://policies.google.com/
privacy?hl=th)
จะอธิบายวิธีที่เราใช้ข้อมูลส่วนตัวและปกป้องความเป็นส่วนตัวของคุณเมื่อใช้บริการ ประกาศเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวของ YouTube Kids (https://kids.youtube.com/t/privacynotice) จะมีข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับหลักปฏิบัติเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับ YouTube Kids โดยเฉพาะ

การใช้บริการของคุณอยู่ภายใต้ข้อกำหนดเหล่านี้ รวมถึงหลักเกณฑ์ของชุมชน YouTube และนโยบาย ความปลอดภัย และนโยบายลิขสิทธิ์ (https://support.google.com/youtube/
topic/9223153?hl=th)
ซึ่งอาจมีการอัปเดตเป็นครั้งคราว (รวมเป็น "ข้อตกลง" นี้) ข้อตกลงของคุณกับเราจะรวมถึงนโยบายการโฆษณาบน YouTube หากคุณให้บริการโฆษณาหรือการสนับสนุนแก่บริการ หรือมีเนื้อหาที่รวมการโปรโมตแบบเสียค่าใช้จ่าย ลิงก์หรือข้อมูลอ้างอิงอื่นใดที่ระบุไว้ในข้อกำหนดเหล่านี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลเท่านั้น และไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงแต่อย่างใด

บัญชี Google และช่อง YouTube แม้ว่าคุณจะใช้ส่วนต่างๆ ของบริการ เช่น การเรียกดูและการค้นหาเนื้อหาโดยไม่ต้องมีบัญชี Google ได้ แต่คุณจำเป็นต้องมีบัญชี Google เพื่อใช้ฟีเจอร์บางอย่าง หากมีบัญชี Google คุณจะกดชอบวิดีโอ ติดตามช่อง สร้างช่อง YouTube ของตนเอง และอื่นๆ ได้ โปรดทำตามวิธีการเหล่านี้เพื่อสร้างบัญชี Google

เมื่อมีการเข้าใช้บริการ www.intermark.co.th อย่างต่อเนื่องโดยไม่เปลี่ยนแปลงการตั้งค่าบนอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ อุปกรณ์ของผู้เข้าใช้จะยอมรับคุกกี้ไปโดยอัตโนมัติ เมื่อมีการเข้าใช้งานครั้งต่อไป ซึ่งหากผู้เข้าใช้งานไม่ต้องการให้คุกกี้ทำการรวบรวมข้อมูล ก็สามารถเลือกเปลี่ยนแปลงการตั้งค่ายอมรับที่ ส่วน “การตั้งค่า” ของแถบเครื่องมือบนอินเทอร์เน็ตเบราว์เซอร์ได้

ประกาศ DPO 001/2565
เรื่อง เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice)
1.
หลักการและเหตุผล
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด (ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า “บริษัท”) ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Policy) ซึ่งเป็นสิทธิความเป็นส่วนตัวขั้นพื้นฐานที่ต้องได้รับความคุ้มครอง และเพื่อเป็นการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 บริษัทจึงได้จัดทำประกาศนโยบายฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อเป็นหลักในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ดังนี้
2.
วัตถุประสงค์
นโยบายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
  • เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเจ้าของข้อมูลซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาซึ่งทำธุรกรรม ใช้บริการ มีส่วนได้ ส่วนเสีย หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัท ดังนี้
    • ลูกค้า
    • พนักงาน
    • ผู้สมัครงาน / นักศึกษาฝึกงาน
    • เจ้าหนี้ ลูกหนี้
    • คู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ
    • บุคคลที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ดำเนินงานตามวัตถุประสงค์ของบริษัท อาทิ เช่น ที่ปรึกษาด้านวิชาชีพ ผู้ให้บริการด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
    • บุคคลที่เข้ามาติดต่อหรือใช้บริการสำนักงาน อาคาร หรือสถานที่ของบริษัท
    • บุคคลที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชั่นของบริษัท
    • ครอบครัวพนักงาน ผู้รับผลประโยชน์ประกันชีวิต หรืออื่นๆ ที่บริษัทได้มีสวัสดิการสำหรับพนักงาน และลูกจ้าง
    • บุคคลที่ถูกอ้างอิง เช่น บุคคลที่ถูกอ้างอิงในการสมัครงาน การเสนอขายสินค้า และบริการแก่บริษัท เป็นต้น
  • เพื่อกำหนดบทบาทหน้าที่ของหน่วยงาน ผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้าง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพื่อกำหนดขั้นตอนหรือมาตรการรักษาความปลอดภัยในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพื่อกำหนดแนวทางในการปฏิบัติงานของพนักงานซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล
  • เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล ต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
3.
ขอบเขตการใช้ประกาศฉบับนี้
ให้ประกาศฉบับนี้มีผลบังคับใช้กับ กรรมการ ผู้ถือหุ้น ผู้บริหาร ลูกจ้าง และพนักงานทุกระดับของบริษัท รวมถึงลูกค้า คู่ค้า ผู้ให้บริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับบริษัท โดยใช้บังคับกับทุกกิจการของบริษัทที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล
4.
คำนิยาม
บริษัท หมายถึง บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด
ข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลซึ่งสามารถระบุตัวตนของบุคคลนั้นได้ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม แต่ไม่รวมถึงข้อมูลของผู้ถึงแก่กรรม
ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหว หมายถึง ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความเสี่ยงอาจถูกนำไปเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม อาทิเช่น เชื้อชาติ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรืออื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด เป็นต้น
ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลที่มีอำนาจตัดสินใจเกี่ยวกับ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ในที่นี้หมายถึง บริษัท ผู้บริหาร หรือพนักงานที่รับผิดชอบข้อมูลนั้น
ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลหรือนิติบุคคลซึ่งดำเนินการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งหรือในนามของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเท่านั้น ไม่ได้เป็นคนตัดสินใจทำการประมวลผลข้อมูลด้วยตนเอง
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลธรรมดา
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หมายถึง บุคคลซึ่งบริษัทแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Data Protection Officer : DPO) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
5.
การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล จะดำเนินการเก็บข้อมูลภายใต้วัตถุประสงค์ความจำเป็นเท่านั้น พร้อมทั้งแจ้งให้เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลทราบก่อนหรือในขณะเก็บรวบรวม ถึงรายละเอียดดังต่อไปนี้
    • วัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม
    • ระยะเวลาในการเก็บรวบรวม
    • ประเภทของบุคคลหรือหน่วยงานซึ่งอาจมีการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    • ข้อมูลหรือช่องทางการติดต่อกับบริษัท
    • สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
    • แจ้งผลกระทบจากการไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคล ในกรณีที่เจ้าของข้อมูลไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลตามสัญญาหรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้
    ทั้งนี้เว้นแต่ กรณีที่ไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ได้แก่
    • เพื่อประโยชน์สาธารณะ การศึกษาวิจัย การเก็บสถิติ การปฏิบัติตามกฎหมาย หรือคำสั่งของศาล
    • เพื่อเป็นการป้องกันหรือระงับเหตุที่อาจเกิดอันตรายต่อชีวิต ทรัพย์สิน สุขภาพของเจ้าของข้อมูล
    • เพื่อดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญา หรือเพื่อให้ในการดำเนินการต่างๆ ที่เจ้าของข้อมูลได้ยินยอมไว้แล้ว
    • เพื่อการดำเนินการตามหน้าที่อันเกิดประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย
  • การเก็บข้อมูลที่มีความอ่อนไหว บริษัทจะไม่เก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว เว้นแต่มีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แก่เจ้าของข้อมูล หรือเมื่อเจ้าของข้อมูลได้ให้ความยินยอมแล้ว ทั้งนี้ยกเว้นกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือเป็นไปตามกฎหมาย
  • การใช้ และ/หรือ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล การใช้และ/หรือการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลก่อนหรือในขณะเก็บรวบรวม และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล เว้นแต่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือการปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมาย
6.
ความถูกต้องของข้อมูลและการแก้ไขข้อมูล
ข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้เก็บรวบรวมไว้นั้น ต้องถูกต้องเป็นปัจจุบันไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด และต้องดำเนินการให้มีช่องทางเพื่อให้เจ้าของข้อมูล ตรวจสอบ ร้องขอ หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตัวเองได้
7.
บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบ
บริษัทกำหนดให้หน่วยงาน หรือพนักงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ต้องให้ความสำคัญและรับผิดชอบในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามนโยบายและแนวปฏิบัติในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทอย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้บุคคล หรือหน่วยงานดังต่อไปนี้ ทำหน้าที่กำกับและตรวจสอบให้การดำเนินงานของบริษัทนั้นถูกต้องและเป็นไปตามนโยบายและกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล มีหน้าที่ดังนี้
    • จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสมและทบทวนมาตรการอย่างสม่ำเสมอ
    • กำหนดการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล และจัดระบบการตรวจสอบการเข้าถึงข้อมูลให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
    • บันทึกรายการข้อมูลส่วนบุคคลตามที่กฎหมายกำหนด
    • จัดทำบันทึกข้อตกลงกับบุคคลที่ได้ว่าจ้าง หรือ บุคคลอื่นใดที่มีความจำเป็นต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคล
  • ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    มีหน้าที่ดำเนินการเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล ใช้ และ/หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งที่ได้รับจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล จัดเก็บข้อมูลให้มีความปลอดภัย และ บันทึกรายการของกิจกรรมประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไว้
  • เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ( DPO)
    • จัดทำและทบทวนนโยบายคุ้มครองขอมูลส่วนบุคคล รวมถึงแนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทให้ครบถ้วนและถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด
    • ให้คำแนะนำด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    • ตรวจตราการดำเนินงานของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
    • กำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ของบริษัท และคู่ค้าให้ดำเนินงานตามนโยบายและขอบเขตของกฎหมาย
    • ประสานงานจัดการเรื่องร้องเรียน หรือการขอใช้สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการติดต่อหรือร้องขอจากเจ้าของข้อมูล
    • ประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในกรณีที่มีเหตุต่างๆ
8.
การรักษาความมั่นคงปลอดภัย มีมาตรการดังนี้
  • กำหนดสิทธิในการเข้าถึงข้อมูล การใช้ เปิดเผย การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการแสดงหรือยืนยันตัวบุคคล ผู้เข้าถึง หรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคล จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัย รวมถึงกระบวนการทบทวนและประเมินประสิทธิภาพของมาตรการดังกล่าว โดยให้เป็นไปตามมาตรฐานของระบบความปลอดภัยทางเทคโนโลยีสารสนเทศของบริษัทอย่างเคร่งครัด
  • การส่ง / โอนข้อมูลส่วนบุคคลไปต่างประเทศ รวมถึงการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปเก็บบนฐานระบบอื่นใดที่อยู่ต่างๆประเทศ ประเทศปลายทางที่เก็บรักษาข้อมูลจะต้องมีมาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเทียบเท่านโยบายตามประกาศนี้
  • หากมีการฝ่าฝืนมาตรการรักษาความปลอดภัยของบริษัท จนเป็นเหตุให้เกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล บริษัทจะดำเนินการต่อผู้ฝ่าฝืนตามกฎหมาย และรีบแจ้งต่อเจ้าของข้อมูลโดยเร็ว ทั้งนี้ บริษัทจะไม่รับผิดชอบในกรณีความเสียหายใดๆ อันเกิดจากการที่เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หรือบุคคลอื่นซึ่งได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล จงใจหรือประมาทเลินเล่อ หรือเพิกเฉยต่อมาตรการรักษาความปลอดภัย จนเป็นเหตุให้ข้อมูลส่วนบุคคลถูกใช้หรือเปิดเผยต่อสาธารณะหรือต่อบุคคลอื่นบุคคลใด
9.
สิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลมีสิทธิร้องขอการเข้าถึงข้อมูลของตน ขอถอนความยินยอม คัดค้านการเก็บ นำไปใช้ หรือการเปิดเผยข้อมูล รวมถึงสามารถร้องขอเพื่อทำลาย พักการใช้ ลบออก หรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของตนให้เป็นปัจจุบัน ร้องเรียนการจัดเก็บข้อมูลได้ เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลนั้นไปตามกฎหมายที่มิได้ระบุให้ต้องขอความยินยอม
10.
การร้องเรียน แจ้งเหตุ ต่างๆเกี่ยวกับการนำข้อมูลไปใช้
กรณีพบความผิดปกติหรือเชื่อว่ามีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าของข้อมูลสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทตามประกาศนี้
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
สถานที่ติดต่อ : 14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-4490118
อีเมล์ : dpooffice@intermark.co.th
11.
การฝ่าฝืน
หากผู้ใดฝ่าฝืน ละเมิด ไม่ปฏิบัติตามประกาศ หรือกฎหมายคุ้มครอบข้อมูลส่วนบุคคลอันนำไปสู่ความเสียหายต่อบุคคลอื่นบุคคลใด หรือต่อบริษัท บริษัทจะดำเนินการลงโทษตามระเบียบบริษัทขั้นสูงสุด และหากส่งผลกระทบร้ายแรงบริษัทจะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565

ประกาศ เรื่องแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน (Privacy Notice)
(สำหรับผู้สมัครงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัครงานหรือบุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงานได้ให้ข้อมูลไว้)
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด หรือต่อไปนี้เรียกว่า “บริษัท” ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน ตลอดจนบุคคลในครอบครัวของผู้สมัครงานหรือบุคคลอื่นซึ่งผู้สมัครงานให้ข้อมูลไว้กับบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงได้จัดทำประกาศฉบับนี้ขึ้นมาเพื่อให้ท่านมั่นใจได้ว่า บริษัทได้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อแจ้งให้ท่านทราบรายละเอียดการดำเนินการกับข้อมูลส่วนบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผย (รวมเรียกว่า “การประมวลผล”) ซึ่งอาจเกิดขึ้น ตลอดจนแจ้งให้ท่านทราบถึงสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน และช่องทางการติดต่อบริษัทดังต่อไปนี้

ในกรณีที่ท่านเป็นผู้สมัครงานของเรา เราจะมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยอาศัยฐานทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ ดังต่อไปนี้
  • เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับสมัครงาน คัดเลือกผู้สมัครงาน การสัมภาษณ์ และการดำเนินการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสมัครงาน
    • ฐานสัญญา : การประมวลผลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการพิจารณาคำขอของผู้สมัครงาน ที่ได้แสดงเจตนาสมัครงานเพื่อเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกบุคลากรของบริษัทฯ
    • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงานหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ ในการรับสมัครงานหรือในการดำเนินการภายหลังการรับสมัครงาน เช่น การพิจารณาคัดเลือกผู้สมัครงาน และการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัครงาน เป็นต้น
    • ฐานความยินยอม : ในกรณีที่บริษัทฯ ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ที่คาดว่าจะเป็นบุคลากร โดยการตัดสินใจของบริษัทฯ เอง (Own Initiative) จากแหล่งอื่น เช่น เว็บไซต์ Recruiter โดยผู้ที่คาดว่าจะเป็นบุคลากรยังไม่ได้แสดงเจตนาว่าประสงค์ที่จะสมัครงาน (Open to Job opportunities) กับบริษัทฯ
    • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในฐานะบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอ้างอิง (Reference Person) ของผู้สมัครงานจะดำเนินการโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากท่าน
  • เพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับบุคลากรของบริษัทฯ
    • ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อใช้ในการพิจารณาคำขอของผู้สมัครงาน ที่ผ่านขั้นตอนการสัมภาษณ์งานและเข้าสู่กระบวนการอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับบุคลากรก่อนเข้าทำสัญญาจ้าง หรือสัญญาอื่นใด เพื่อบรรจุเข้าเป็นบุคลากรของบริษัทฯ
    • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน เป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายของบริษัทฯ เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลที่ประมวลผลมีความจำเป็นต่อการพิจารณาอนุมัติเงินเดือนและผลประโยชน์สำหรับบุคลากรของบริษัทฯ
  • เพื่อวัตถุประสงค์ในการดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องกับจ้างงาน และการบรรจุบุคลากรเข้าทำงาน อาทิ การตรวจร่างกายก่อนเข้าทำงาน การระบุนามผู้รับผลประโยชน์ การขึ้นทะเบียนผู้ประกันตน การตรวจสอบประวัติอาชญากรรม การเข้าทำสัญญาจ้าง และการเข้าทำสัญญาผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นต้น
    • ฐานสัญญา : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร เป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินการเข้าทำสัญญาจ้าง และสัญญาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการดำเนินการใด ๆ ที่จำเป็นก่อนการเข้าทำสัญญาดังกล่าวในกรณีของผู้ค้ำประกันการทำงาน การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ค้ำประกันการทำงาน เป็นการจำเป็นเพื่อดำเนินการเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานซึ่งผู้ค้ำประกันการทำงานเป็นคู่สัญญา
    • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของบุคลากร และผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคลากร เป็นการจำเป็นในการบริหารจัดการด้านทรัพยากรบุคคลของบริษัทฯ เช่น การตรวจสอบและพิจารณาคุณสมบัติของบุคลากร เพื่อบรรจุบุคลากรเข้าทำงานในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นต้น
    • ฐานกฎหมาย : ในกรณีของกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ เป็นการจำเป็นเพื่อการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เช่น การจัดทำแบบฟอร์ม และเอกสารต่าง ๆ เพื่อยื่นต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
    • ฐานความยินยอม : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวของบุคลากร อาทิ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ และข้อมูลชีวภาพ จะกระทำโดยอาศัยความยินยอมที่ได้รับจากบุคลากร
  • เพื่อวัตถุประสงค์ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยของบุคคล และทรัพย์สินของบริษัทฯ
    • ฐานประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย ในการตรวจสอบดูแลความสงบเรียบร้อยและรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของบริษัทฯ หรือการใช้ภาพบันทึกจากกล้องวงจรปิด (CCTV) และกล้องบันทึกภาพหน้ารถยนต์ของบริษัทฯ เพื่อป้องกันการสูญหาย หรือเสียหายในทรัพย์สินของบริษัทฯ หรือใช้เพื่อติดตามเอาคืนทรัพย์สิน หรือเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย ในกรณีที่มีการทำให้ทรัพย์สินของบริษัทฯ สูญหาย หรือเสียหาย เป็นต้น
    • ฐานการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล : การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเป็นการจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบดูแล ป้องกัน หรือระงับเหตุการณ์ใด ๆ ที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของบุคคล
ทั้งนี้ บริษัทอาจมีการเก็บรวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่น ซึ่งผู้สมัครงานได้ให้ข้อมูลไว้ ทั้งนี้ บริษัทเก็บ รวบรวม ใช้ และเปิดเผยข้อมูลของบุคคลเหล่านั้น โดยอาศัยฐานทางกฎหมายต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์เพื่อการติดต่อสื่อสารในกรณีจำเป็น หรือเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ตรวจสอบข้อมูลของผู้สมัครงานจากบุคคลอ้างอิงที่ระบุ หรือ ตรวจสอบประวัติการทำงานของผู้สมัครงาน ก่อนหน้า แจ้งเหตุอันตรายที่เกิดแก่ผู้สมัครงานให้ทราบ เป็นต้น

บริษัทขอแจ้งให้ท่านทราบว่า การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัครงาน บุคคลในครอบครัวของผู้สมัครงาน รวมถึงบุคคลอื่น ในกรณีที่ท่านเป็นผู้สมัครงาน และได้ให้ข้อมูลของบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นแก่บริษัท ท่านจะต้องรับผิดชอบในการแจ้งให้บุคคลเหล่านั้นทราบถึงแบบแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ และ/หรือดำเนินการขอความยินยอม (หากจำเป็น) ในกรณีที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่ บริษัทเก็บรวบรวมข้างต้นเป็นข้อมูลที่จำเป็นปฏิบัติตามสัญญาหรือการปฏิบัติตามกฎหมายต่าง ๆ ที่ใช้บังคับ หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลที่จำเป็นดังกล่าว บริษัทอาจไม่สามารถทำสัญญาจ้างงานกับท่าน หรือไม่สามารถบริหารจัดการสัญญาตามวัตถุประสงค์ของการจ้างงานได้ หรืออาจมีผลต่อการได้รับสิทธิสวัสดิการ หรือการจัดการอำนวยความสะดวกให้กับท่าน
1.
ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีการเก็บรวบรวม
  • บริษัทจะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยการขอข้อมูลจากท่านโดยตรง เช่น การให้ท่านกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กำหนด หรือสอบถามจากท่าน หรือขอให้ท่านส่งเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัท อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่ บริษัทเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของท่านมาจากแหล่งอื่น เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น เช่น บุคคลอ้างอิงที่ท่านระบุในใบสมัครงาน มหาวิทยาลัยหรือสถานศึกษาของท่าน ผู้ให้บริการจัดหางาน หน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ หน่วยงานหรือองค์กรที่ท่านได้เคยปฏิบัติงาน เป็นต้น
    ทั้งนี้ ข้อมูลส่วนบุคคลที่ ดำเนินการเก็บรวบรวมนั้น มีดังต่อไปนี้
    • ข้อมูลที่ใช้ระบุตัวตน (Identity Data) เช่น ชื่อ นามสกุล เลขประจำตัวบัตรประชาชน วัน เดือน ปีเกิด เพศ อายุ สัญชาติ น้ำหนัก ส่วนสูง สถานภาพการสมรส ลายมือชื่อ ภาพถ่าย ใบขับขี่รถยนต์ ทะเบียนรถยนต์
    • ข้อมูลติดต่อ (Contact Data) เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล
    • ข้อมูลทางการเงิน (Financial Data) เช่น เงินเดือน หมายเลขบัญชีธนาคาร
    • ข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ เช่น ประวัติการทำงานและการศึกษารวมถึงหลักฐานที่เกี่ยวข้อง สถานภาพการเกณฑ์ทหาร ข้อมูลบุคคลอ้างอิง สถานภาพการสมรส ประวัติการอบรม ประวัติการฝึกงาน ใบอนุญาตขับขี่
    • ข้อมูลระบุตัวตนของบุคคลในครอบครัว (บิดา มารดา คู่สมรส) ได้แก่ ชื่อ นามสกุล วัน เดือน ปีเกิด เพศ อายุ อาชีพ ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
    • ข้อมูลทางการแพทย์ เช่น โรคประจำตัว ประวัติการรักษา อุบัติเหตุที่เคยได้รับ ประวัติการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคติดต่อ
  • ข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน
    โดยทั่วไปแล้วบริษัทไม่มีความประสงค์จะเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อน ที่ปรากฏอยู่ในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ หากท่านได้มอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนให้แก่บริษัท ขอให้ท่านปกปิดข้อมูลดังกล่าว หากท่านมิได้ปกปิดข้อมูลข้างต้น ถือว่าท่านอนุญาตให้ บริษัทดำเนินการปกปิดข้อมูลเหล่านั้น และถือว่าเอกสารที่มีการปกปิดข้อมูลดังกล่าว มีผลสมบูรณ์และบังคับใช้ได้ตามกฎหมายทุกประการ ทั้งนี้ หากบริษัทไม่สามารถปกปิดข้อมูลได้เนื่องจากข้อจำกัดทางเทคนิคบางประการ บริษัทจะเก็บรวบรวมและใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเอกสารยืนยันตัวตนของท่านเท่านั้น

    หาก บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อนอื่น ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ใดโดยเฉพาะ บริษัทจะดำเนินการขอความยินยอมโดยชัดแจ้งจากท่านก่อน ทั้งนี้ บริษัทอาจมีการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน อาทิ ข้อมูลสุขภาพ ข้อมูลเกี่ยวกับความพิการ หรือศาสนา เพื่อการอำนวยความสะดวกแก่ท่านและปฏิบัติย่างเหมาะสม

    อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจมีความจำเป็นต้องเก็บรวบรวมและใช้ ข้อมูลประวัติอาชญากรรมของผู้สมัครงาน เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติก่อนการจ้างงานตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งบริษัทสามารถประมวลผลข้อมูลดังกล่าวได้โดยอาศัยฐานทางกฎหมายที่แจ้งไว้ในข้อ 1. โดยไม่ได้อาศัยความยินยอมของท่าน ทั้งนี้บริษัทจะจัดให้มีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานและประโยชน์ของท่าน และจะกระทำการต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตที่กฎหมายอนุญาตให้กระทำได้โดยเคร่งครัด
2.
ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งได้ระบุไว้ในหนังสือแจ้งฉบับนี้ อย่างไรก็ดี หากบริษัทยังไม่ได้พิจารณารับท่านเข้าทำงานตามตำแหน่งงานที่ท่านได้สมัครไว้ บริษัทจะเก็บข้อมูลดังกล่าวของท่านเป็นเวลา 60 วัน นับตั้งแต่วันที่สมัครงาน หรือวันที่ปรับปรุงใบสมัครงานครั้งล่าสุด เพื่ออาจนำมาใช้ติดต่อท่านเมื่อมีตำแหน่งงานที่อาจจะเหมาะสมกับท่านในอนาคต
3.
สิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูล
ในฐานะที่ท่านเป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล ท่านมีสิทธิตามที่กำหนดไว้โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ทั้งนี้ ท่านสามารถขอใช้สิทธิเพิกถอนความยินยอม / ระงับ / คัดค้าน / แก้ไข ในข้อมูลส่วนบุคคลของท่านได้ในช่องทาง www.intermark.co.th/rights_request.php

ทั้งนี้ บริษัทอาจแก้ไขปรับปรุงแบบแจ้งเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้เป็นครั้งคราว โดยจะประกาศให้ท่านทราบผ่านทาง www.intermark.co.th/condition.php และ/หรือแจ้งให้ท่านทราบผ่านทางอีเมล์ ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องขอความยินยอมจากท่านบริษัทจะดำเนินการขอความยินยอมจากท่านเพิ่มเติมด้วย
4.
วิธีการติดต่อ
ในกรณีที่มีข้อสงสัยหรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลของท่าน การใช้สิทธิของท่าน หรือมีข้อร้องเรียนใด ๆ ท่านสามารถติดต่อ ได้ตามช่องทางดังต่อไปนี้
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
สถานที่ติดต่อ : 14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-4490118
อีเมล์ : dpooffice@intermark.co.th
ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565
มีผลบังคับใช้ 1 มิถุนายน 2565

ประกาศการคุ้มครองส่วนบุคคลเกี่ยวกับการใช้กล้องวงจรปิด (CCTV)
ของบริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า “บริษัท” มีการใช้งานกล้องวงจรปิดภายในและโดยรอบสถานที่ของบริษัทในการตรวจตราพื้นที่เพื่อการรักษาความปลอดภัยและความมั่นคงของสถานที่ ทรัพย์สิน พนักงาน ลูกค้า และผู้มาติดต่อของบริษัท รวมทั้งกล้องบันทึกภาพหน้ารถยนต์ของบริษัทฯ ประกาศการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับการใช้กล้องวงจรปิดฉบับนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเก็บรวบรวม การใช้และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่บริษัทเก็บรวบรวมโดยใช้กล้องวงจรปิด ทั้งนี้บริษัทอาจมีการปรับปรุงประกาศฉบับนี้เป็นครั้งคราว ท่านสามารถอ่านประกาศได้ที่ www.intermark.co.th/condition.php
รายละเอียดของการคุ้มครองส่วนบุคคลเกี่ยวกับการใช้กล้องวงจรปิด
1.
ประเภทข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทเก็บรวบรวม
กล้องวงจรปิดของบริษัทจะบันทึกภาพบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลนั้น อาทิเช่น ยานพาหนะ ที่เข้ามาในพื้นที่ภายในการสอดส่องดูแลที่อยู่ในภายในหรือโดยรอบสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวกของบริษัท และอาจเก็บรวบรวมภาพถ่ายหรือภาพวีดีโอของท่านไว้เป็นระยะเวลา 30 วัน
2.
วิธีการที่บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
บริษัทอาจเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้
  • เพื่อการคุ้มครองชีวิต ร่างกาย สุขภาพ ความปลอดภัยส่วนบุคคลและทรัพย์สินของบุคคลต่างๆ
  • เพื่อการคุ้มครองและป้องกันสถานที่ สิ่งอำนวยความสะดวกและทรัพย์สินของบริษัทจากความเสียหาย การถูกรบกวน บุกรุก การถูกทำลายและอาชญากรรมอื่นๆ รวมถึงการเข้าขัดขวางในกรณีที่อาจเป็นอันตรายต่อบริษัท
  • เพื่อการสนับสนุนหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในการป้องกัน สืบสวน สอบสวน และดำเนินคดีต่ออาชญากรรมและการดำเนินการเพื่อการยับยั้งอาชญากรรม
  • เพื่อการช่วยเหลือระงับข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่เกิดขึ้นในกระบวนการทางวินัยหรือการร้องทุกข์
  • เพื่อการช่วยเหลือในการสอบสวนหรือกระบวนการที่เกี่ยวกับการแจ้งเบาะแส
  • กล้องวงจรปิดของบริษัททำงานตลอด 24 ชั่วโมง เว้นแต่ในกรณีระบบขัดข้องหรือมีการซ่อมบำรุงระบบ
3.
หลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมาย
บริษัทอาจเก็บรวบรวม เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน โดยอาศัยหลักเกณฑ์หรือฐานทางกฎหมาย ดังต่อไปนี้
  • ฐานประโยชน์สำคัญต่อชีวิต : โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ เปิดเผย หรือเพื่อประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลนั้นเป็นการจำเป็น เพื่อป้องกันหรือระงับเหตุอันอาจเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย อุบัติเหตุ หรือสุขภาพของบุคคล
  • ฐานประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย : การเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเป็นการดำเนินการเพื่อประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของบริษัท เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดในข้างต้น
  • ฐานหน้าที่ตามกฎหมาย : บริษัทมีหน้าที่ปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อการป้องกันความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในที่ทำงาน ซึ่งถือว่าการใช้กล้องวงจรปิดเป็นมาตรการที่สำคัญที่ช่วยให้สามารถดำเนินตามวัตถุประสงค์นี้ได้
4.
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
โดยปกติ บริษัทฯ จะไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านที่เก็บรวบรวมผ่านระบบกล้องวงจรปิดดังกล่าวข้างต้นให้แก่บุคคลภายนอก อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ อาจเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านต่อบุคคลภายนอกเฉพาะกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ดำเนินการดังกล่าวได้เท่านั้น หรือเป็นกรณีที่ปฏิบัติตามคำสั่งของหน่วยงานราชการ เช่น ตำรวจ พนักงานอัยการ เป็นต้น
5.
ระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัทฯจะเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไว้ไม่เกินกว่าความจำเป็นตามวัตถุประสงค์ของประกาศนี้ แต่บริษัทอาจเก็บข้อมูลนานกว่าปกติกรณีที่ใช้เพื่อระงับข้อพิพาท หรือ เหตุจำเป็นในกระบวนการทางกฎหมายซึ่งอาจเกิดขึ้น

หากบริษัทหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน บริษัทอาจทำลาย ลบ นำออกจากระบบ ในทางใดทางหนึ่ง
6.
สิทธิของท่าน
  • สิทธิขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิในการขอเข้าถึงและขอรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านและอยู่ในความดูแลของบริษัทฯ เฉพาะข้อมูลที่ท่านได้ให้ความยินยอม หรือขอให้เปิดเผยถึงการได้มาซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวที่ท่านไม่ได้ให้ความยินยอมได้ บริษัทฯ จะจัดส่งสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าวให้ท่านภายใน 30 วันนับแต่วันที่บริษัทฯ ได้รับคำขอ และ/หรือตามที่กฏหมายกำหนด ทั้งนี้ในบางกรณีบริษัทฯ อาจทำการขอข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อยืนยันตัวตนและสิทธิของท่านอันเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิขอให้ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิในการขอให้บริษัทฯ ส่งหรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นด้วยวิธีอัตโนมัติ และมีสิทธิในการขอรับข้อมูลส่วนบุคคล ที่บริษัทฯ ส่งหรือโอนไปยังผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอื่นโดยตรง เว้นแต่โดยสภาพทางเทคนิคไม่สามารถทำได้
  • สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้หรือ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับท่านเมื่อใดก็ได้ ในกรณีตัวอย่างดังต่อไปนี้
    • เพื่อวัตถุประสงค์เกี่ยวกับการตลาดแบบตรง
    • เพื่อการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ หรือ สถิติเว้นแต่เป็นการจำเป็นเพื่อการดำเนินภารกิจเพื่อประโยชน์สาธารณะของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิในการขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้
    ท่านมีสิทธิในการขอให้ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เฉพาะข้อมูลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทฯ หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
    • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผย
    • เมื่อท่านถอนความยินยอมในการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัทฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยได้ต่อไป
    • เมื่อท่านคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลและบริษัทฯ ไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะปฏิเสธได้
    • เมื่อ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
    ท่านมีสิทธิในการขอให้ระงับใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน ในกรณีดังต่อไปนี้
    • อยู่ในระหว่างการตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลว่ามีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ หรือไม่
    • เป็นข้อมูลที่ต้องลบหรือทำลายเมื่อข้อมูลส่วนบุคคลได้ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ท่านขอให้ระงับแทน
    • เมื่อข้อมูลส่วนบุคคลหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาไว้ตามวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล แต่ท่านยังมีความจำเป็นต้องขอให้เก็บรักษาไว้เพื่อใช้ในการก่อตั้งสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย การปฏิบัติตามหรือการใช้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย หรือการยกขึ้นต่อสู้สิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
    • เมื่อบริษัทฯ อยู่ในระหว่างการพิสูจน์สิทธิในการปฏิเสธคำขอการคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
  • สิทธิในการเพิกถอนความยินยอม
    ท่านมีสิทธิถอนความยินยอมเสียเมื่อใดก็ได้ เว้นแต่เมื่อการถอนความยินยอมนั้นถูกจำกัดโดยกฎหมายหรือสัญญาที่ให้ประโยชน์แก่ท่าน ทั้งนี้ การถอนความยินยอมจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลที่ท่านได้ให้ความยินยอมแก่บริษัทฯ ก่อนหน้าแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย
  • สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน
    บริษัทฯ ต้องดำเนินการให้ข้อมูลส่วนบุคคลนั้นถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากบริษัทฯ ปฏิเสธคำขอของท่าน บริษัทฯ จะบันทึกการปฏิเสธดังกล่าวพร้อมด้วยเหตุผลลงในบันทึกรายการ
7.
ค่าใช้จ่ายในการขอ หรือตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล
บริษัท ขอสงวนสิทธิในการเก็บค่าใช้จ่ายในการขอ หรือตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคลตามระเบียบ
8.
การติดต่อบริษัท
หากท่านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับประกาศฉบับนี้ หรือหากท่านประสงค์ที่จะใช้สิทธิของท่านโปรดติดต่อ
บริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด
14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-449-0118
 
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-449-0118
อีเมล์ : dpooffice@intermark.co.th
ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565

ประกาศบริษัท อินเตอร์มาร์ค บิสซิเนส จำกัด
เรื่อง นโยบายส่วนบุคคล สำหรับการออกใบกำกับภาษี / ใบเสร็จรับเงิน และอื่นๆทางบัญชี
1.
วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บข้อมูล
  • วัตถุประสงค์ในการประมวลผลข้อมูล : บริษัทบันทึกและจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน เพื่อใช้ในการออกใบกำกับภาษี
  • ฐานในการประมวลผลข้อมูล : บริษัทดำเนินการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่านภายใต้ฐาน ดังต่อไปนี้
    • ฐานจำเป็นเพื่อประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมาย : เมื่อท่านให้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการออกใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน/ใบลดหนี้/ใบเพิ่มหนี้ บริษัทอาจจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของท่านไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการออกใบกำกับภาษีในครั้งต่อไปที่ท่านมาใช้บริการ หากท่านไม่ประสงค์ให้บริษัทจัดเก็บไว้ท่านสามารถใช้สิทธิขอลบได้ตามข้อ 4
    • ฐานการปฏิบัติตามกฎหมาย : บริษัทจำเป็นต้องขอข้อมูลส่วนบุคคลของท่านเพื่อใช้ในการออกใบกำกับภาษี โดยเป็นไปตามประมวลรัษฎากรและกฎหมายหรือประกาศอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น มาตรา 86/4 ของประมวลรัษฎากร,ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 199) เป็นต้น และบริษัทจำเป็นต้องนำส่งข้อมูลดังกล่าวให้แก่กรมสรรพากร หากท่านไม่ให้ข้อมูลส่วนบุคคลดังกล่าว บริษัทจะไม่สามารถออกใบกำกับภาษีเต็มรูปให้แก่ท่านได้ แต่ท่านจะได้รับใบกำกับภาษีอย่างย่อจากบริษัททุกครั้งที่มีการซื้อสินค้าและบริการ
2.
ข้อมูลส่วนบุคคลที่จะทำการประมวลผลและระยะเวลาในการเก็บรวบรวม
  • ชื่อ-นามสกุล , ที่อยู่ , เลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร (เลขบัตรประชาชน)
  • บริษัทไม่มีความจำเป็นในการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลอื่นที่ปรากฎบนบัตรประชาชน ได้แก่ ศาสนา , หมู่โลหิต หรือ ข้อมูลที่อ่อนไหวอื่นๆ ดังนั้น หากท่านไม่ประสงค์จะให้บริษัทเก็บข้อมูลดังกล่าวขอให้ทำเครื่องหมายขีดฆ่าหรือปกปิดข้อมูลให้ชัดเจน มิเช่นนั้น บริษัทถือว่าท่านยินยอมเปิดเผยข้อมูล โดยบริษัทจะไม่นำข้อมูลอื่นที่ได้แจ้งไว้ไปใช้ในกิจการอื่นใด
  • เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาข้างต้น บริษัทจะทำการลบหรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้
  • ข้อมูลทางการเงิน ในกรณีที่มีการรับ หรือโอนเงิน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต
3.
การเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลภายนอก
บริษัททำการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่บริษัทที่บริษัทได้ว่าจ้างให้ทำหน้าที่เป็นผู้ประมวลข้อมูลส่วนบุคคลในการจัดการเกี่ยวกับโปรแกรมในการออกใบกำกับภาษีทั้งในรูปแบบกระดาษและรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงนำส่งข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้แก่กรมสรรพากรและเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และอาจจำเป็นต้องเปิดเผยในกรณีที่มีการร้องขอจากหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจในการขอข้อมูลส่วนบุคคล เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานอัยการ ศาล หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจในการขอข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พนักงานสอบสวน อัยการ เป็นต้น และอาจมีการเปิดเผยให้หน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีของบริษัทเองด้วย
4.
สิทธิของเจ้าของข้อมูล มีดังนี้
  • สิทธิในการเพิกถอนความยินยอมให้บริษัทประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  • สิทธิในการเข้าถึงและรับสำเนาข้อมูลส่วนบุคคลที่บริษัทได้เก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย
  • สิทธิในการขอให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  • สิทธิในการคัดค้าน การประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  • สิทธิในการขอให้ลบ ทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่านซึ่งไม่อาจระบุตัวตนได้
  • สิทธิในการระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของท่าน
  • สิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลของท่านให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน สมบูรณ์ และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด
  • สิทธิที่จะร้องเรียนในกรณีที่ท่านเห็นว่า ถูกบริษัท หรือเจ้าหน้าที่ หรือตัวแทนของบริษัทละเมิดสิทธิตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562
การร้องขอใด ๆ เพื่อการใช้สิทธิของท่านตามที่กล่าวข้างต้น จะต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือผ่านทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งบริษัทได้จัดให้มีขึ้น โดยบริษัทจะใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่สมเหตุสมผล และไม่เกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยบริษัทจะปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายที่เกี่ยวกับสิทธิของท่านในฐานะเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

ทั้งนี้ อาจเกิดข้อจำกัดในการขอใช้สิทธิของท่านบางประการ โดยบริษัทจะทำการชี้แจงให้ท่านทราบหากไม่สามารถปฏิบัติตามคำร้องขอใช้สิทธิของท่านได้ โดยข้อจำกัดดังกล่าวเป็นไปตามที่พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 กำหนด

การใช้สิทธิดังกล่าวข้างต้น บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการคิดค่าบริการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการเข้าดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลตามที่ท่านร้องขอ
5.
การเปลี่ยนแปลงเอกสารแจ้งการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 เอกสารแจ้งการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Notice) ฉบับนี้ อาจมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในแต่ละคราว โดยบริษัทจะแสดงฉบับที่เป็นปัจจุบันไว้บน เว็บไซต์ www.intermark.co.th/condition.php
6.
การร้องเรียน แจ้งเหตุ ต่างๆเกี่ยวกับการนำข้อมูลไปใช้
กรณีพบความผิดปกติหรือเชื่อว่ามีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เจ้าของข้อมูลสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบริษัทตามประกาศนี้
เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
สถานที่ติดต่อ : 14/18 หมู่ 18 ถนน ตลิ่งชัน-บางบัวทอง แขวงศาลาธรรมสพน์ เขตทวีวัฒนา กรุงเทพ 10170
โทรศัพท์ : 02-449-0118
อีเมล์ : dpooffice@intermark.co.th
ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565